ตอนที่แล้ว ผมสัญญาว่าจะเล่าเรื่องคนที่ใช้ชีวิตแบบ “ฉาบฉวย” ให้ฟังใช่ไหมครับ? ....คน ๆ นั้นก็คือ “ตัวผมเอง”
ผมไม่ต้องทบทวนอะไรมากก็จำได้เลยว่าในตอนเด็กผมค่อนข้างเป็นคนมีฐานะ..
คือฐานะ “ยากจน”
และก็อยู่ในครอบครัวที่มีความรู้
ก็คือมีความรู้ “น้อย”
จริง ๆ ฐานะตอนเกิดก็ไม่ได้วัดความสำเร็จตอนโต และความรู้น้อย ก็ไม่ใช่จะทำให้คนไม่ประสบความสำเร็จ
มีคำเขาพูดถึงความยากจนไว้เป็นวลีคล้องจองกันว่า “ยากจน..ทนทุกข์” จริง ๆ แล้วผม “จน” เฉย ๆ ครับ ไม่ได้ “ยากจน” เนื่องจากเพราะมันไม่ได้ “ยาก” อย่างที่ควรจะเป็น สาเหตุที่ไม่ยาก ก็เพราะมันชิน นั่นเอง...แล้วอีกอย่างก็ไม่ได้ “ทนทุกข์” เพราะมันไม่ได้ต้อง “ทน” สาเหตุก็เพราะมันชิน อีกนั่นแหละ
หลายสิบปีที่ผ่านมา ผมรู้สึก “ขอบคุณ” ชีวิตตัวเองมากเลยที่เกิดมาในลักษณะแบบนั้น ซึ่งก็เพราะมันเป็นแบบนั้น ผมถึงได้เป็น “แบบนี้” ในปัจจุบัน
ถ้าจะถามว่า “จน” ขนาดไหน? คำตอบก็คือ ขนาดที่พ่อแม่ คิดว่าคงไม่มีปัญญาจะเลี้ยงให้ดีได้ เลยต้องขนเอาทั้งผม ทั้งพี่น้อง รวม 3 คน ไปอยู่กับญาติที่แปดริ้ว (เป็นชื่อเล่นที่เขาเรียกอำเภอเมือง จังหวัดฉะเชิงเทรา) ช่วยเลี้ยง (ผมเกิดฝั่งธนฯ...คนสมัยนี้บอก “ฝั่งธนฯ” ไม่รู้จะเข้าใจหรือเปล่า?)
ก่อนที่ผมจะคิดเป็น ผมยังเคยคิดน้อยใจที่ทำไมพ่อแม่ ถึงเสือกใสไล่ส่งให้พวกผมพี่น้อง ไปอยู่ต่างจังหวัดกับญาติที่ไม่รู้จักมาก่อน วันที่พ่อพาพวกผมย้ายออกไป ผมมีความรู้สึกเหมือนหัวใจสลายไปแล้ว ตอนนั้นผมอายุได้ประมาณ 8 ขวบ, พี่สาวกับน้องสาว ห่างจากผมคนละ 2 ปี ไล่กัน สามคนพี่น้อง ต้องย้ายไปอยู่กับคนที่ไม่ใช่พ่อแม่ตั้งแต่เล็ก ๆ ....ก็เพราะตอนนั้นผมไม่รู้เลยว่า นั่นเป็นทางเดียวที่ “ลูกสามคน” ของพ่อ จะได้มีที่กิน, ที่นอน, ที่สำคัญที่สุด คือได้มีโอกาสเรียนหนังสือทั้ง 3 คน...เดี๋ยวมาคุยเรื่องนี้กันต่อนะครับ
ผมอยากจะเล่าย้อนให้ฟังว่า(ยังกะหนังซีรีส์เกาหลี).... ก่อนหน้าที่พวกผมสามพี่น้อง จะถูกจับย้ายออกไปจากฝั่งธนบ้านเกิด ไปอยู่แปดริ้วกับญาติ ก่อนนั้นประมาณ 2-3 ปี แม่ก็หายออกจากบ้านไป ตอนนั้นผมก็ไม่รู้เหตุผล เพิ่งมารู้ตอนโตแล้วว่า ด้วยความจน และมีลูกหลายคน แม่ได้ตั้งกระทู้ถามพ่อที่เป็น “ช่างตัดผม” ว่า ลูก 3 คน วางแผนอนาคตให้ลูกยังไง?....จริง ๆ แล้ว พ่อเป็นคนรักครอบครัว แต่ด้วยความตีบตื้อด้วยฐานะอาชีพ เลยไม่รู้จะตอบแม่ยังไง....แม่ก็เลยต้องหาทางเอาเอง ด้วยการออกไปหาทำงานนอกบ้าน เพื่อว่าจะได้ช่วยเรื่องเศรษฐกิจของครอบครัวอีกแรงหนึ่ง....นี่ถือเป็นวิสัยทัศน์ของ “แม่” ที่มีอายุเพียงยี่สิบต้น ๆ ที่รักลูก และไม่ยอมเป็นเหยื่อของชะตากรรม (เป็นวิสัยทัศน์ของผู้หญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่มีความรู้แค่ชั้นประถม แต่วันหนึ่งในอนาคต จะได้เป็นเจ้าของเครือข่ายธุรกิจมูลค่า 300 ล้านบาท....)
แต่ปรากฏว่า วิสัยทัศน์ของแม่ตอนนั้น กับครอบครัวของพ่อ มันเป็นคนละขั้ว เพราะแม่แต่งงานเข้ามาในครอบครัวพ่อ ตอนนั้นมีปู่, ย่า, อา, ลุง ฯลฯ อยู่ด้วยหลายคน ซึ่งการที่สะไภ้ออกจากบ้านไปทำงานนอกบ้าน โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ในบ้านก่อน ถือเป็น “ความผิด” เหมือนเป็นความคิดที่ “นอกคอก”, “กบฎ” ฯลฯ ดังนั้น แม่จึงโดนรุมว่า รุมประนาม จนที่สุดก็ไม่สามารถอยู่ต่อเป็นครอบครัว พ่อ, แม่, ลูก ได้ แม่จึงขอพ่อว่าจะออกไปเผชิญโลกกว้าง เพื่อหาทางช่วยลูกสามคนอยู่ข้างนอกวัง ....ไม่ใช่ นอกบ้าน ให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่เติบโตอย่างไร้ความหวังอย่างที่เห็น ๆ อยู่ในตอนนั้น ซึ่งพ่อก็หมดทางทัดทานแม่ สาเหตุก็เพราะไม่สามารถหา “คำตอบ” ให้กับคำถามของแม่ ถึงอนาคตของลูกทั้งสามคนได้.....เมื่อเป็นแบบนั้น ผมจึงกลายเป็นเด็กใน “ครอบครัวแตกแยก” พ่อไปทาง, แม่ไปทาง, ลูกไปอีกทาง
จริง ๆ แล้วผมก็แปลกใจความคิดตัวเองมากเลย ที่ทำไมหนอ? แม้จะร้องไห้เสียใจทุกวันตอนนั้น แต่ก็ไม่ได้ตกตะกอนเป็นความเกลียดชังในชะตากรรม, ไม่ได้โกรธพ่อแม่, ไม่ได้น้อยใจที่ถูกทิ้ง ฯลฯ ความคิดลบ ๆ แบบนั้นไม่ได้เข้ามาในสมองผมเลยแม้แต่นิดเดียว....แม้ว่าตลอด 10 ปีเต็ม ๆ ที่ผมอาศัยอยู่กับญาตินั้น จะมีคำพูดส่อเสียด, ด่าทอ, ประณาม, แม้แต่ด่าว่า ให้กับแม่เข้าหูผมตลอดเวลาว่า ผมมีแม่ที่ไม่รักลูก, ไม่รักครอบครัว, เห็นแก่ตัว ฯลฯ สารพัด แต่ก็ไม่ได้มีผลทำให้ผมเกลียด, โกรธ แม่ได้เลย ทุก ๆ วันก็เฝ้าแต่รอว่า เมื่อไหร่แม่จะมาเยี่ยม ซึ่งนาน ๆ ทีประมาณปีละครั้งสองครั้ง แม่ก็จะมาเยี่ยม ทุกครั้งก็จะเอาขนมอร่อย ๆ ผลไม้ดี ๆ มาฝาก แต่ก็ไ่ม่เคยอยู่ค้างกับพวกผม เพราะแม่มาหาทีไร ก็ต้องถูก “ญาติ” บ่น, ด่า, กระแนะกระแหน จนร้องไห้กลับไปทุกครั้ง และเมื่อแม่กลับ ผมก็จะต้องนอนร้องไห้คิดถึงแม่ไปอีกเป็นอาทิตย์ ๆ ทุกครั้งเช่นเดียวกัน
สำหรับพ่อนั้น ผมก็ได้ซืมซับถึงความสม่ำเสมอในความรักที่มีต่อลูก เพราะหลังจากพ่อพาพวกผมไปอยู่กับญาติ พ่อจะมาเยี่ยมทุกวันอาทิตย์ไม่เคยขาด พวกผมจะไปตั้งแถวรอพ่อที่สถานีรถไฟ ตอนเห็นพ่อลงจากรถไฟ ก็แข่งกันสามพี่น้องร้องเรียก แล้ววิ่งไปรับของฝาก พาพ่อเข้าบ้าน ซึ่งของฝากของพ่อก็จะเป็นอาหารดี ๆ และขนมอร่อย ๆ ทุกครั้ง วันจันทร์ตอนเช้ามืด พ่อก็จะนั่งรถไฟกลับ ผมก็ร้องไห้คิดถึงเหมือนเดิม...เป็นอย่างนี้ตลอด 10 ปี พ่อไม่เคยขาด ไม่เคยป่วย .....เมื่อผมรู้ความ และได้ย้อนคิดไปถึงหัวอกพ่อ ตอนที่จำใจยอมให้แม่จากไป พ่อคงจะหัวใจสลาย พ่อคงเป็นทุกข์มากเพราะผมรู้ว่าพ่อรักแม่มาก ยิ่งตอนที่ต้องพาพวกผมออกไปอยู่ที่อื่น เพราะต้องคิดถึงอนาคตของลูก พ่อก็คงทำใจอยู่นาน และที่ผมบอกว่าผมหัวใจสลายเพราะถูกพ่อพาไปอยู่ที่อื่นนั้น ผมคิดแล้วพ่อคงจะมีความทุกข์มากผมร้อยเท่าพันเท่าตอนนั้น....